บทความ
ทำไมต้องใช้…ระบบระบายน้ำฝน JAS Siphonic?
ฤดูฝนของประเทศไทย ในช่วงหลังมานี้ มักจะมีแนวโน้มที่ปริมาณน้ำฝนสูงขึ้น ฝนตกหนัก ตกนานต่อเนื่อง และเกิดพายุฝนบ่อยครั้ง ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ การระบายน้ำฝนจากบนหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง หากไม่เตรียมการรับมือไว้ อาจะเกิดเหตุการณ์ที่ระบายน้ำฝนไม่ทัน จนล้นรางไหลเข้าอาคาร ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ มูลค่าความเสียหายยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
สิ่งแรกที่ควรระวังคือ หมั่นดูแลทำความสะอาดรางน้ำฝน อย่าให้มีขยะ เศษใบไม้ ไปอุดตันสะสมบริเวณหัวระบายน้ำฝน ควรดูแลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน
อย่างที่ 2 จากแนวโน้มของฝนที่ตกหนักขึ้น การออกแบบระบบระบายน้ำฝนสำหรับอาคารที่สร้างใหม่ จะต้องให้ความสำคัญในการเลือกค่าความเข้มฝน (Rainfall Intensity) ที่ใช้ในการออกแบบให้มีค่าสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเหมาะสมต่อพื้นที่ตั้งของโครงการ
การออกแบบให้มีระบบระบายน้ำฝนมีความปลอดภัยสูงขึ้น ก็จะตามมาด้วยวัสดุที่ใช้ทำระบบน้ำฝนต้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหัวระบายน้ำฝน ปริมาณท่อ ตำแหน่งท่อน้ำฝน ตำแหน่งบ่อ manhole เพื่อให้รองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นได้อย่างเพียงพอ Cost ในการติดตั้งก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้าของโครงการ
ระบบระบายน้ำฝนแบบไซโฟนิค คือทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้เจ้าของโครงการได้ระบบระบายน้ำฝนที่มีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ Cost ในการติดตั้งลดลง เป็นระบบที่ระบายน้ำฝนได้ประสิทธิภาพสูงสุด เร็วกว่าระบบระบายน้ำฝนแบบเก่า สูงถึง 10 เท่า
ระบบระบายน้ำฝน JAS Siphonic (ไซโฟนิค) คืออะไร?
หลักการของระบบระบายน้ำฝน Siphonic (ไซโฟนิค) คือการทำให้ระบบระบายน้ำฝนแบบเต็มท่อ โดยมีหัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic ทำหน้าที่ป้องกันอากาศลงไปในระบบท่อ ต่างจากระบบระบายน้ำฝนแบบเก่าที่อากาศจะถูกดึงลงไปในระบบท่อ ทำให้ระบายน้ำได้น้อยและต้องใช้ท่อขนาดใหญ่ เพราะต้องเผื่อพื้นที่ให้อากาศขนาดท่อน้ำฝนของระบบระบายน้ำฝน Siphonic (ไซโฟนิค) จะถูกคำนวณอย่างละเอียด ให้พอดีกับปริมาณน้ำที่ต้องการระบาย หากเล็กเกินไปจะทำให้ระบายไม่ทัน หากใหญ่เกินไปจะทำให้น้ำไม่เต็มท่อ ต้องคำนวณและปรับขนาดท่อน้ำฝนให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำตลอดทั้งเส้นระบบระบายน้ำฝน Siphonic เป็นระบบที่ใช้มาตรฐานการออกแบบของประเทศอังกฤษและอเมริกา และใช้ software ในการออกแบบขนาดท่อ ความเร็ว และแรงดัน ที่ได้รับการรับรองจากประเทศอังกฤษ จึงมั่นใจได้ว่าระบบระบายน้ำฝน JAS Siphonic เป็นระบบระบายน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ผ่านการออกแบบมาแล้ว มากกว่า 1,000 โครงการ
ระบบระบายน้ำฝน JAS Siphonic vs Gravity
ระบบระบายน้ำฝนมีอยู่ 2 แบบ คือ ระบบระบายน้ำฝนแบบเก่าหรือที่เรียกว่าระบบกราวิตี้ และระบบระบายน้ำฝนแบบไซโฟนิค มีข้อแตกต่างกันดังนี้
ระบบระบายน้ำฝน JAS Siphonic
2. ท่อแนวนอนไม่ต้องทำให้มีความลาดเอียง
3. ใช้ท่อน้ำฝนขนาดเล็กและใช้จำนวนท่อน้อยกว่า
4. ใช้บ่อ manhole แค่บางจุด
5. ออกแบบได้อย่างอิสระ เลือกจุดลงท่อได้ตามต้องการ
6. สามารถดึงน้ำไปที่บ่อเก็บน้ำได้โดยไม่ต้องใช้ปั๊ม ท่อใต้ดินไม่ต้องทำให้ลาดเอียง
7. ไปลดต้นทุนของโครงการโดยรวม
8. ใช้ Software ในการคำนวณหาขนาดท่อ
ดูเพิ่มเติม
ระบบระบายน้ำฝนแบบ Gravity
2. ท่อแนวนอนต้องทำให้มีความลาดเอียง เพื่อช่วยให้น้ำไหลเร็วขึ้น
3. ใช้ท่อน้ำฝนขนาดใหญ่และใช้จำนวนมาก
4. ต้องมีบ่อ manhole รองรับหลายจุด
5. มีข้อจำกัดในการออกแบบ ไม่สามารถเดินท่อแนวนอนระยะไกลได้
6. ค่าใช้จ่ายในการทำระบบ ค่อนข้างสูง
7. หาขนาดท่อโดยการเปิดตาราง
หัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic vs ตะแกรงหัวน้ำฝน Gravity
หัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic
ตะแกรงหัวน้ำฝน Gravity
หัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic ดีกว่า ตะแกรงหัวน้ำฝน Gravity ยังไง?
หัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic มีหลากหลายรุ่น โดยแบ่งตามปริมาณน้ำ และลักษณะของหลังคา สามารถใช้กับท่อได้หลายชนิด โดยจุดเด่นหลักของหัวระบายน้ำฝน JAS Siphonic คือ สามารถระบายน้ำฝน ได้อย่างอิสระ 3 ช่องทางหลัก แม้โดนขวางทางน้ำไหลในทางใดยังมีช่องว่างที่สามารถระบายได้เต็ม ประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ท่อน้ำฝน อีกส่วนสำคัญของระบบระบายน้ำฝน
การกัดเซาะของดิน : น้ำฝนที่ไหลลงมาแรงๆ อาจกัดเซาะทำให้เกิดหลุม หรือทำให้ดินทรุดตัว
ความเสียหายต่อโครงสร้าง : น้ำฝนที่ขังอยู่ตามผนังหรือฐานราก อาจซึมเข้าไปทำให้เกิดความเสียหายต่อ
โครงสร้างได้
ความเสียหายต่อพื้นที่โดยรอบ : น้ำฝนที่ไหลบ่าอาจทำให้เกิดน้ำท่วมขัง หรือทำให้พื้นที่โดยรอบสกปรก